***ตอนที่ 118 เป็นของคู่รัก 3 เส้านะคะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอันนี้
Chapter 119: ตอนพิเศษ
เตาจุดกำยาน 2 (กำยานพิศวาส พาร์ท 2)
นี่เป็นเช้าครั้งที่สองที่เว่ยอู๋เซียนตื่นนอนก่อนหลานวิ่งจี และขาของเขาก็สั่นระริกไปทั้งวัน
เตาจุดกำยานรูปเทียนปา
(สัตว์ในเทพนิยายจีนที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับความฝัน)
ก็ถูกนำมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เว่ยอู๋เซียนแยกชิ้นส่วนมันออก แล้วประกอบเข้าไปด้วยกันใหม่ก็แล้ว
แต่เขาก็ยังคงไม่อาจเข้าใจความลึกลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของมันอยู่ดี
เว่ยอู๋เซียนนั่งลงข้างๆโต๊ะพร้อมกับยังคงครุ่นคิด,
“ หากตัวกำยานไม่มีปัญหา,
เช่นนั้นอาจจะเป็นตัวเตาจุดกำยานที่มีปัญหา ทุกอย่างช่างเหมือนกับความจริงจนแยกไม่ออก
มิรู้ว่าในหอตำราสกุลหลานจะเคยมีบันทึกเรื่องนี้ไว้หรือไม่?”
หลานวั่งจีส่ายศีรษะ
หากแม้แต่เขายังส่ายศีรษะ,
ย่อมแปลว่าสิ่งนี้คงไม่มีผู้ใดเคยบันทึกไว้แน่ๆ
เว่ยอู๋เซียน,
“โอ้, ถ้าเช่นนั้น ฤทธิ์ของมันคงจะหมดไปแล้ว
พวกเราควรจะเก็บมันไว้ให้ดี จะได้ไม่มีผู้ใดมาสัมผัสมันโดยบังเอิญได้อีก หากมีปรมาจารย์ด้านอาวุธวิญญาณผ่านมาพบ, ไว้พวกเราค่อยนำมันออกมาเพื่อขอคำปรึกษาจากพวกเขาดีหรือไม่?”
ทั้งสองล้วนคิดว่าอิทธิฤทธิ์ของเตาจุดกำยานได้หมดลงแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้จึงอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขา
ในคืนนั้นเอง, หลังจากห่มผ้าเตรียมเข้านอนกันเรียบร้อยแล้ว,
เว่ยอู๋เซียนและหลานวั่งจีก็หลับไปเคียงข้างกันภายในเรือนรับรองของพวกเขา
แต่ทันทีที่เว่ยอู๋เซียนเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง
เขากลับพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ใต้ต้นอวี้หลาน(ต้นแมกโนเลีย)
ด้านนอกของหอตำราสกุลหลาน แสงอาทิตย์กำลังสาดส่องลอดใต้กิ่งก้านของต้นไม้มากระทบยังใบหน้าของเขา
เว่ยอู๋เซียนหรี่ตาลง ใช้มือบังแสงแดดแล้วค่อยๆลุกขึ้น
ครั้งนี้,
หลานวั่งจีไม่ได้อยู่ข้างๆเขา
เว่ยอู๋เซียนใช้มือขวาป้องริมฝีปากไว้แล้วตะโกนเรียก,
“หลานจ้าน!”
ไม่มีผู้ใดตอบรับ เว่ยอู๋เซียนแปลกใจยิ่ง
ดูเหมือนว่าเตาจุดกำยานอันนั้นจะยังคงไม่สิ้นฤทธิ์เสียทีเดียว แต่ว่าหลานวั่งจีไปอยู่ที่ใดกัน?
อย่าบอกนะว่ามีเขาเพียงผู้เดียวที่ต้องฤทธิ์ของเตาจุดกำยานในครั้งนี้
ด้านหน้าของต้นอวี้หลานไกลออกไปมีกลุ่มก้อนขาวๆกระจุกตัวกันอยู่
เจ้ากลุ่มพวกนั้นดูเหมือนจะเป็นกลุ่มลูกศิษย์ลูกหาของสกุลหลาน
พวกเขาใส่เสื้อผ้าสีขาวทั้งยังสวมผ้าคาดศีรษะ เจ้าพวกนั้นยังถือม้วนตำราคนละสองสามเล่ม
และกำลังเดินไปเข้าเรียนภาคบรรยายในคาบเช้า พวกเขาผ่านมาทางนี้แต่ไม่มีใครที่จะมองมายังเว่ยอู๋เซียนที่กำลังยืนอยู่สักแวบเดียวเลย คงมองไม่เห็นเขาสินะ เว่ยอู๋เซียนเดินตามขึ้นไปยังหอตำราเพื่อแอบดูหลานวั่งจี
แต่ก็ไม่พบเขาในหอตำรา ไม่ว่าจะเป็นหลานวั่งจีคนปัจจุบัน หรือหลานวั่งจีในวัยเยาว์
เขารู้สึกห่อเหี่ยวลงมาก จึงเริ่มเดินเล่นไปทั่วอาณาเขตของอวิ๋นเซินปู้จือฉู่อย่างไร้จุดหมาย
หลังจากนั้นไม่นาน
เขาก็ได้ยินเสียงของเด็กผู้ชายสองคนกำลังคุยกัน เขาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
แล้วพบว่าหนึ่งในเสียงที่ได้ยินนั้นช่างคุ้นเคยนัก, “ไม่เคยมีใครเก็บเจ้าสิ่งนี้ไว้ในอวิ๋นเซินปู้จือฉู่หรอกนะ
เจ้าทำแบบนี้ไม่กลัวว่าจะมีใครรู้เข้าหรืออย่างไร?”
จากนั้นก็เกิดความเงียบขึ้น, เด็กชายอีกคนตอบกลับด้วยเสียงสลดว่า, “ข้าทราบ แต่...ข้าได้ให้คำมั่นเอาไว้...ข้าไม่สามารถผิดคำพูดของตนเองได้”
เว่ยอู๋เซียนให้ความสนใจบทสนทนานั้น เขาแอบเข้าไปดูใกล้ๆมากขึ้น
และเป็นดังคาด มันเป็นบทสนทนาระหว่างหลานซีเฉิน กับหลานวั่งจี
นี่เป็นวันหนึ่งที่สายลมพัดโชยเย็นสบายในช่วงวสันตฤดู
คู่พี่น้องที่สง่างามไร้ที่ติราวหยกคู่ ยืนตระหง่านสะท้อนความสูงส่งเปี่ยมราศีของกันและกัน
ทั้งสองอยู่ในชุดคลุมแขนกว้างสีขาวราวหิมะ โดยมีชายผ้าคาดศีรษะกระพือไหวไปตามสายลมราวกับภาพวาดอันแสนงดงาม
หลานวั่งจีในตอนนี้ดูเหมือนจะอยู่ในวัย 16 ปี
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังกังวลกับบางสิ่งอยู่ในใจ ในอ้อมแขนของเขามีกระต่ายตัวสีขาวปุกปุยตัวหนึ่ง กำลังสูดจมูกสีชมพูน้อยๆฟุตฟิต
และตรงปลายเท้าของเขาก็ยังมีกระต่ายอยู่อีกตัว,
หูทั้งสองข้างของมันตั้งขึ้นแล้วพยายามปีนรองเท้าบูทยาวของเขาขึ้นมา
หลานซีเฉิน, “เช่นใดข้อตกลงของเด็กผู้ชายสองคนจึงกลายเป็นคำสัญญาที่มีความสำคัญเป็นจริงเป็นจังไปได้?
หรือเป็นเพราะเจ้าพวกนี้?”
หลานวั่งจีมองไปยังพื้นดิน โดยไม่ตอบคำถาม
หลานซีเฉิน อมยิ้ม,
“ก็ได้ หากท่านอาบังเอิญถามถึงเรื่องนี้เข้าละก็,
เจ้าก็เตรียมหาคำตอบดีๆไว้ให้เหมาะสมก็แล้วกัน ทุกวันนี้เจ้ามักใช้เวลากับพวกเจ้าตัวเล็กเหล่านี้มากเกินไปนะ”
หลานวั่งจีพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม, “ขอบคุณ ท่านพี่” เข้าค้างไว้แล้วพูดบางสิ่งเพิ่มเติมว่า,
“…เจ้าพวกนี้ไม่ได้รบกวนการเล่าเรียนของข้าหรอก”
หลานซีเฉิน, “ข้ารู้, วั่งจี แต่กระนั้น, เจ้าก็อย่าบอกท่านอาไปก็แล้วกันนะ ว่าใครเป็นผู้มอบพวกมันให้แก่เจ้า, มิเช่นนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท่านอาอาจจะบังคับให้เจ้าเอาพวกมันไปทิ้งให้ไกลที่สุดแน่ๆ”
ได้ยินดังนั้น จึงดูเหมือนว่าหลานวั่งจีจะกอดกระต่ายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาให้แน่นขึ้น
หลานซีเฉินจึงยิ้มให้ เขายื่นนิ้วออกไปจิ้มยังปลายจมูกสีชมพูเล็กๆของเจ้ากระต่ายน้อย ก่อนจะเดินลอยชายจากไป
หลังจากที่พี่ชายลับตาไปแล้ว
หลานวั่งจีก็หยุดยืนอยู่ที่นั่น กำลังคิดอะไรอยู่สักครู่หนึ่ง เจ้ากระต่ายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากระดิกหูไปมาอย่างผ่อนคลาย
ส่วนตัวที่อยู่ตรงเท้าของเขานั้นก็พยายามที่จะปีนขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
หลานวั่งจีมองมันก่อนจะก้มตัวลงไปอุ้มเจ้าตัวซนขึ้นมา
เขาอุ้มเจ้ากระต่ายทั้งสองตัวไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวมันอย่างนุ่มนวล
แต่ความอ่อนโยนของเขานั้นช่างขัดกับสีหน้าเรียบนิ่งที่เขาแสดงออกโดยแท้
เว่ยอู๋เซียนรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจของเขาเมื่อได้เห็นฉากนี้
เขาเดินออกมาจากหลังต้นไม้ด้วยความอยากจะเข้าใกล้หลานวั่งจีในวัยเยาว์นัก แต่ตอนนั้นเจ้ากระต่ายน้อยหนึ่งในสองตัวนั่นก็พลันกระโดดออกมาจากอ้อมแขนของหลานวั่งจี, บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน หลานวั่งจีมองไปรอบๆ
แล้วพบว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนั้น, เขาใช้สายตาจ้องมองไปอย่างระแวดระวังแล้วก็สะดุดเข้ากับ,
“…เจ้า?”
เขาดูตกใจอย่างมาก
แต่เว่ยอู๋เซียนกลับตกใจมากยิ่งกว่า, “เจ้ามองเห็นข้าหรือ?”
นี่เป็นเรื่องที่นับว่าแปลกอย่างมาก
โดยหลักการแล้ว ผู้ที่อยู่ในความฝันไม่ควรที่จะมองเห็นเขาได้สิ แต่ตอนนี้, หลานวั่งจีในวัยเยาว์กำลังมองตรงมาที่เขา, “แน่นอนว่าข้ามองเห็น, เจ้าคือ...เว่ยอิง?
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขาดูยังไงก็อายุมากว่า
20 ปีแน่ๆ และแน่นอนว่าอายุเกิน 15 ปีชัดๆ,
แต่ว่าเขาคนนี้มีใบหน้าเหมือนกับเว่ยอู๋เซียนอย่างกับแกะ
หลานวั่งจีไม่อาจจำแนกผู้บุกรุกได้อย่างแน่ชัดจึงทำได้เพียงคอยระมัดระวังอยู่ทุกฝีก้าว
ถ้าเพียงแต่เขาถือกระบี่อยู่ในมือละก็,
เขาคงจะชักกระบี่ปี้เฉินออกจากฝักไปแล้ว
เว่ยอู๋เซียนมีปฏิกิริยาตอบรับที่รวดเร็วกว่า
เขาปรับท่าทีให้เรียบร้อยได้อย่างรวดเร็ว, “เป็นข้าเอง!”
ได้ยินคำตอบนั้นใบหน้าของหลานวั่งจียิ่งดูระแวดระวังเข้าไปใหญ่
เขาถอยหลังออกไปสองสามก้าว
เว่ยอู๋เซียนแสร้งทำเสียงและแสดงท่าทีว่ากำลังเจ็บปวดเป็นอย่างมาก,
“หลานจ้าน, ข้าต้องผ่านความเจ็บปวดเจียนตายเพื่อกลับมาพบเจ้า—แล้วใยเจ้าถึงแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อข้า?”
หลานวั่งจี, “เจ้าคือ...เว่ยอิงตัวจริงหรือ?”
เว่ยอู๋เซียน,
“แน่นอน”
หลานวั่งจี, “เช่นนั้นทำไมรูปร่างหน้าตาของเจ้าถึงแปลกไป?”
เว่ยอู๋เซียน,
“จะว่าไปแล้วเรื่องมันยาวนัก สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ;ข้าคือเว่ยอู๋เซียนจริงๆ, แต่เป็นเว่ยอู๋เซียนในอีก
7 ปีข้างหน้า เจ็ดปี
หลังจากนี้ข้าได้ค้นพบอาวุธที่ทรงพลังอย่างมาก มันสามารถพาข้าข้ามเวลาย้อยกลับมาในอดีตได้
ข้ากำลังอยู่ระหว่างทดสอบการใช้งานของมัน และตอนที่ข้าบังเอิญสัมผัสมันเข้า—
ข้าก็มาอยู่ที่นี่แล้ว!”
ช่างเป็นคำอธิบายที่บ้าบอคอแตกนัก
ใช้หลอกเด็กสามขวบยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เสียงของหลานวั่งจีเย็นเฉียบ “เจ้าจะสามารถพิสูจน์เรื่องนี้ให้กระจ่างได้อย่างไร?”
เว่ยอู๋เซียน,
“เจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นไร? ข้ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้า กระต่ายที่ถูกเจ้ากอดไว้ตัวนั้น กับกระต่ายอีกตัวที่อยู่ตรงเท้าของเจ้า –พวกมันล้วนเป็นข้าที่มอบให้,หรือมิใช่? เจ้ายังทำท่าไม่พอใจอยู่เลยตอนที่รับพวกมันไว้, แต่ดูเจ้าสิ ตอนนี้เจ้ากลับปฏิเสธที่จะทิ้งมัน กระทั่งพี่ชายของเจ้ามาบอกว่าไม่ต้องทิ้ง
เจ้ากำลังตกหลุมรักข้า?
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของหลานวั่งจีก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
เขาทำท่าเหมือนต้องการจะพูดอะไรออกมา แต่ก็หยุดไว้เสียก่อน,
“ข้า...”
เว่ยอู๋เซียนเดินเข้าไปใกล้เขาอีกสองสามก้าว
อ้าแขนกว้างพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก, “เป็นอะไรเล่า?
หรือเจ้าเขิน?”
เห็นการแสดงออกของเว่ยอู๋เซียนแปลกไป, หลานวั่งจีมองเขาราวกับเป็นศัตรู,
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงทั้งยังเดินถอยหลังไปอีกสองก้าว
เว่ยอู๋เซียนไม่ได้เห็นสีหน้าของหลานวั่งจีในแบบนี้มานานแล้ว เขาแอบหัวเราะ
แล้วแสร้งทำเป็นโมโห, “ทำไมเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้? เจ้าจะหลีกเลี่ยงข้าไปทำไม?
ช่างดีเกินไปแล้ว,หลานจ้าน—เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันมานานถึงสิบปีแล้วนะ, ตอนนี้เจ้าถึงกลับลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างง่ายดาย?”
เจอแบบนี้เข้าไป,
ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลานวั่งจีถึงกับถูกน้ำแข็งจับขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
เขาจึงเปิดปาก,
“…ถึงสิบปี? เจ้า....กับข้า?...ทั้งยังเป็นสามีกับภรรยา?”
เขาพูดออกมาเพียงสิบเอ็ดคำในขณะที่กำมือแน่น
เว่ยอู๋เซียนดูเหมือนจะเพิ่งคิดอะไรออก, “โอ้, ข้าลืมไปว่าเจ้ายังจำอะไรไม่ได้นี่นะ
คำนวณดูแล้ว, ในอดีตตอนนี้ ดูเหมือนพวกเราเพิ่งจะได้พบกันนี่? ข้าเพิ่งจะออกจากอวิ๋นเซินปู้จือฉู่ไป? ไม่ต้องเป็นห่วงนะ, ข้าจะบอกความลับให้— อีกสองสามปีจากนี้,
พวกเราจะกลายเป็นคู่ฝีกวิชาร่วมกัน!”
หลานวั่งจี, “…คู่ฝึกวิชา?”
เว่ยอู๋เซียน กล่าวอย่างย่ามใจ,
“ถูกต้อง,
เป็นคู่ที่ต้องประลองวิชาด้วยกันทุกวัน เป็นวิชาบนเตียงตามประสาคู่แต่งงานหน่ะ—เจ้าชอบออกจะตายไป”
หลานวั่งจีมีโทสะจนอกกระเพื่อม
ต่อจากนั้นเขาก็ใช้เสียงพูดลอดไรฟันออกมาว่า, “…ช่างเพ้อเจ้อนัก!”
เว่ยอู๋เซียน,
“เจ้าจะได้รู้เองว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อหรือไม่ หากเจ้าตั้งใจฟังให้จบ
ตอนเจ้านอนหลับเจ้าชอบจะกอดข้าเอาไว้อย่างแนบแน่น
หากวันไหนที่เจ้าไม่ได้กอดข้าเอาไว้ เจ้าจะนอนไม่หลับ ทุกครั้งที่เจ้าจูบข้า
มันจะเป็บจูบที่ยาวนาน และก่อนที่เจ้าจะผละออกไป เจ้าชอบใช้ริมฝีปากของเจ้าขบริมฝีปากข้าอย่างนุ่มนวล
อ่อใช่ แล้วเจ้าก็ยังชอบจะกัดข้าด้วย เมื่อพวกเราทำอย่างว่ากัน
จนทั่วร่างของข้า...”
ตั้งแต่ได้ยินคำว่า’กอดข้าอย่างแนบแน่น’,
สีหน้าของหลานวั่งจีก็บิดเบี้ยวไปแล้ว ยิ่งได้ฟังคำพูดเหล่านั้นต่อ
ท่าทางของเขาก็ยิ่งรับไม่ได้ เขาแทบจะยกมือขึ้นปิดหูด้วยซ้ำเมื่อได้ฟังเรื่องอนาจารนั่น, อยากจะฟาดฝ่ามือออกไป, ”เพ้อเจ้อ!”
เว่ยอู๋เซียนหลบไปด้านข้าง,
“นี่ก็ยังเพ้อเจ้ออีกหรือ? อย่างน้อยเจ้าก็ควรเปลี่ยนไปพูดคำอื่นนะ
แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าพูดจาเพ้อเจ้อ? เหล่านี้มิใช่เรื่องที่เจ้าชอบกระทำหรอกหรือ?”
หลานวั่งจี ในที่สุดก็เอ่ยบางอย่าง,
“…ข้ายังไม่เคยจูบผู้ใด...ดังนั้นข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าข้าจะชอบทำอะไรเช่นนั้น...ตอนที่ข้า..!”
เว่ยอู๋เซียนคิดตามไปพักหนึ่ง,
”เจ้าไม่ผิด ตอนอายุเท่านี้เจ้ายังไม่เคยจูบกับผู้ใด, ดังนั้นเจ้าย่อมไม่รู้แน่ว่าเจ้าชอบทำเช่นไรเวลาเจ้าจูบใครสักคน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เจ้าอยากจะลองดูสักหน่อยหรือไม่?
“…” หลานวั่งจีแทบจะลืมไปเลยว่าเขาต้องเรียกรวมพลศิษย์สกุลหลานเพื่อมาตรวจสอบผู้บุกรุกที่น่าสงสัยคนนี้
เขาพุ่งเข้าไปโรมรันพันตูสู้ตายโดยมุ่งไปยังจุดอ่อนของศัตรูโดยไม่ทันคิด
แต่ตอนนี้เขายังเยาว์วัยอยู่มาก เว่ยอู๋เซียนที่มีทักษะสูงกว่าจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เขาหลบหลีกการโจมตีเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย เมื่อเห็นจังหวะที่หลานวั่งจีไม่ทันระวังจุดอ่อนตรงแขน
เขาจึงจี้จุดนั้นทำให้การเคลื่อนไหวของหลานวั่งจีหยุดนิ่ง ในจังหวะนี้เองเว่ยอู๋เซียนจึงถือโอกาสโฉบริมฝีปากของตนลงบนแก้มของเขา
“…”
หลังจากปล้นจูบได้,
เว่ยอู๋เซียนจึงปล่อยแขนของหลานวั่งจีและคลายจุดให้
แต่หลานวั่งจีได้แข็งเป็นรูปปั้นไปแล้ว,
เขาค้างอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน
ด้วยท่าทางมึนงงจนไม่รับรู้ถึงสิ่งใดอีกต่อไป
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...” เว่ยอู๋เซียนหัวเราะจนตัวเองถึงกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน
เขาหัวเราะอย่างหนักจนเกือบจะกลิ้งตกจากเตียง
โชคยังดีที่แขนของหลานวั่งจีได้กอดเอวของเขาไว้อยู่ตลอด เขาหัวเราะจนกระทั่งร่างกายสั่นไหวถึงลืมตาตื่น, นั่นปลุกให้หลานวั่งจีตื่นขึ้นมาเช่นกัน
ทั้งสองจึงลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกัน
หลานวั่งจีมองต่ำ เขานวดขมับของตนเองโดยใช้มือเพียงข้างเดียว,
“เมื่อสักครู่, ข้า...”
เว่ยอู๋เซียน,
“เมื่อสักครู่, ท่านได้ฝันว่าตอนที่ท่านอายุ
15 ปี ได้พบกับข้าที่อายุประมาณ 20 ปี หรือไม่?
“…” หลานวั่งจีมองเขา, “เตาจุดกำยาน”
เว่ยอู๋เซียนพยักหน้า,
“ข้าคิดว่ามีเพียงข้าคนเดียวเสียอีกที่เข้าไปอยู่ในความฝันเพราะอาการข้างเคียงจากเตาจุดกำยานนั่น
กลับเป็นท่านที่ได้รับผลกระทบจากมันมายิ่งกว่า”
สถานการณ์ของคืนนี้แตกต่างจากครั้งล่าสุดอีกแล้ว
ครั้งนี้หลานจ้านในวัยเยาว์คือตัวหลานวั่งจีเอง
คนที่กำลังฝันอยู่มักจะไม่รู้ตัวเองว่าเขากำลังฝัน
ดังนั้นหลานวั่งจีจึงคิดไปว่าเขาคือหลานวั่งจีที่มีอายุได้ 15 ปีจริงๆ
มันก็ดูเหมือนจะเป็นการฝันถึงเรื่องทั่วไป –ตอนเช้าเข้าเรียน, ไปเดินเล่น, ดูแลกระต่าย และแน่นนอนที่เขาเข้าไปเอาเรื่องเว่ยอู๋เซียนที่แอบเข้ามาสร้างความเสียหายในฝันของเขา
พอถูกจับได้ก็ทำมาเป็นล้อเล่นกลบเกลื่อน
เว่ยอู๋เซียน,
“ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ, หลานจ้าน
ทำไมท่านเอาแต่กอดเจ้ากระต่ายนั่นไม่ยอมปล่อย ท่านกลัวว่าพี่ชายและท่านอาของท่านจะพรากมันไปหรือ—ข้าก็รักท่านเหมือนกันนะ
ฮ่าๆๆๆๆ...”
หลานวั่งจีไม่รู้ว่าจะต้องตอบเช่นไร, “...นี่มันก็ดึกมากแล้ว
เสียงหัวเราะของเจ้าอาจจะไปรบกวนคนอื่นเอาได้”
เว่ยอู๋เซียน,
“เจ้าคิดว่าพวกเราอยู่เงียบๆกันทุกวันตอนกลางคืนหรือ? ทำไมเจ้าถึงตื่นเช้านัก? หากเจ้าตื่นสายลงกว่านี้สักหน่อย
ข้าอยากจะลากเจ้าไปยังภูเขาให้ไกลจากสกุลหลาน แล้วจัดการทำเรื่องไม่ดีกับเจ้า, ทำให้พี่ชายสกุลหลานในวัยเยาว์ได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของชีวิต, “ฮ่าๆๆๆๆๆ...”
หลานวั่งจีมองดูเขากลิ้งไปกลิ้งมาข้างๆ แต่เขาก็ยังไม่อาจจะหาคำใดพูดออกมาได้อยู่ดี หลังจากที่นั่งอยู่ได้สักพัก
เขาจึงเอื้อมมือออกไปกดเว่ยอู๋เซียนไว้กับเตียง
ทั้งสองคนคิดว่าหลังจากผ่านคืนที่สองไปแล้ว
ฤทธิ์ของเตาจุดกำยานคงจะหมดไป และนี่เป็นคืนที่สาม,
เว่ยอู๋เซียนตื่นขึ้นมาในความฝันของหลานวั่งจีอีกครั้ง
ในเครื่องแต่งกายสีดำ, เขากำลังเดินทอดน่องไปตามทางเดินที่โรยด้วยก้อนกรวดสีขาวของอวิ๋นเซินปู้จือฉู่—ขลุ่ยที่ห้อยอยู่ด้วยพู่สีแดงแกว่งไปมาตามจังหวะการย่างเท้าของเขา
ไม่นานนักก็ได้ยิงเสียงคนท่องตำราลอยมาตามสายลม
เสียงนั้นดังมาจากทางห้องเรียนรวมสกุลหลาน เว่ยอู๋เซียนจึงเดินเข้าไปในห้องแล้วก็พบศิษย์สกุลหลานกลุ่มหนึ่งกำลังทบทวนตำราอยู่ข้างใน
หลานฉี่เหรินไม่ได้อยู่ที่นั่น เป็นหลานวั่งจีกำลังให้คำแนะนำกับพวกเขาอยู่
หลานวั่งจีในฝันของคืนนี้ยังคงอยู่ในวัยเยาว์
แต่เขาดูเหมือนอยู่ในช่วงที่เว่ยอู๋เซียนเคยพบครั้งอยู่ในถ้ำเสวี่ยนอู่ อายุประมาณ
17-18 ปี รูปลักษณ์ของเขางามสง่า
เปี่ยมด้วยรัศมีของผู้ฝึกวิชาเซียนอันโดดเด่น และยังทำตัวเป็นผู้คงแก่เรียนที่แสนน่าเบื่อ
เขาตั้งอกตั้งใจสั่งสอนลูกศิษย์อยู่หน้าห้อง
เมื่อใครสักคนมีคำถามแล้วลุกขึ้นออกมาถาม เขาจะกวาดตามองรอบหนึ่งก่อนจะรีบอธิบายคำตอบทันที
ท่าทีเคร่งขรึมที่เขาแสดงออกช่างขัดกับภาพลักษณ์ของวัยรุ่นทั่วไปยิ่งนัก
เว่ยอู๋เซียนยืนพิงเสาอยู่ด้านนอกห้องเรียนรวมสกุลหลาน
มองเหตุการณ์พวกนั้นอยู่สักพัก,
เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคาอย่างเงียบเชียบแล้วยกขลุ่ยขึ้นมาจรดริมฝีปาก
ภายในห้องเรียนรวมสกุลหลาน, หลานวั่งจีชะงักเล็กน้อย หนึ่งในนักเรียนของเขาถามขึ้น, “ท่านอาจารย์น้อย, เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ?
หลานวั่งจี, “เป็นใครมาเป่าขลุ่ยในเวลานี้กัน?”
เด็กๆเหล่านั้นมองหน้ากันไปมา
ทันใดนั้นก็มีผู้กล้าสักคนพูดขึ้น, “ข้าไม่เห็นได้ยินเสียขลุ่ยอะไรเลย?
ได้ยินดังนั้นหลานวั่งจีก็ขมวดคิ้ว
เขาลุกขึ้นยืน จับดาบ แล้วเดินออกจากประตูไป,
เป็นเวลาเดียวกับที่เว่ยอู๋เซียนหยุดเป่าขลุ่ยแล้วกระโดดข้ามไปยังหลังคาของเรือนหลังอื่น
หลานวั่งจีสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวนั่น, เขาตะโกนถามเสียงต่ำ, “เจ้าเป็นใคร?”
เว่ยอู๋เซียนเดาะลิ้นสองครั้งจนเกิดเสียงห่างออกไปเกือบ
10 จั้ง แล้วเขาก็หัวเราะร่วน, “ข้าคือสามีของเจ้าไง”
ได้ยินดังนั้น, สีหน้าของหลานจ้านก็เปลี่ยนไป เขาไม่แน่ใจนัก, “เว่ยอิง?”
เว่ยอู๋เซียนไม่ยอมตอบ
หลานวั่งจีจึงชักกระบี่ปี้เฉินออกจากฝักที่ห้อยไว้ด้านหลังแล้วเริ่มไล่ล่าเขา
กระโดดขึ้นลงไม่กี่ครั้ง เว่ยอู๋เซียนก็สามารถร่อนลงบนกำแพงสูงของอวิ๋นเซินปู้จือฉู่ได้อย่างสง่าผ่าเผย
เขาย่ำไปบนกระเบื้องหลังคา หลานวั่งจีก็ร่อนตามมาเช่นกัน เขายืนห่างจากเว่ยอู๋เซียนอยู่สองสามฉื่อ
ยกกระบี่ปี้เฉินไว้สูงระดับเดียวกับผ้าคาดศีรษะ แขนเสื้อและชายเสื้อคลุมสะบัดพลิ้วไหวไปกับสายลมในยามค่ำคืน
เว่ยอู๋เซียนเอามือไพล่หลัง,
สีหน้ายิ้มกริ่ม, “ช่างเป็นบุรุษที่แสนหล่อเหลา
ทั้งยังเคลื่อนไหวได้น่ามองนัก
ทัศนียภาพเช่นนี้คงจะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นหากได้สุราเทียนจื่อเซี่ยวสักไห
หลานวั่งจีจ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า, “เว่ยอิง, เจ้าต้องการอะไรกันถึงมาเยือนถึงอวิ๋นเซินปู้จือฉู่ อย่างผิดกฎในยามค่ำคืนโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้?”
เว่ยอู๋เซียน,
“เจ้าก็ทายสิ?”
“…” หลานวั่งจี, “ไม่พ้นเรื่องไร้สาระ!”
ปี้เฉินถูกฟันออกไป
แต่เว่ยอู๋เซียนกลับหลบได้อย่างง่ายดาย
หลานวั่งจีในช่วงวัยนี้เชี่ยวชาญเพลงกระบี่แล้ว แต่ต่อหน้าเว่ยอู๋เซียนในเวลาปัจจุบัน
เขาก็ยังไม่สามารถกดดันคนตรงหน้าได้มากนัก แค่แลกเปลี่ยนเพลงกระบี่ไม่กี่ครั้งเขาก็ถูกยันต์ของเว่ยอู๋เซียนกระแทกเข้าที่หน้าอก
ร่างกายของหลานวั่งจีราวกับถูกแช่แข็ง ขยับไม่ได้แม้แต่นิด จากนั้นเขาจึงถูกเว่ยอู๋เซียนจับกุมเอาไว้ แล้วพามุ่งหน้าไปทางทิวเขาที่อยู่ด้านหลังของอวิ๋นเซินปู้จือฉู่
เว่ยอู๋เซียนพบจุดที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาทึบ
หลานวางจีถูกพาไปไว้ที่นั่น, พาดกายไว้กับก้อนหิน,
“เจ้าต้องการอะไร?”
เว่ยอู๋เซียนดึงแก้มของเขาขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง,
“ขืนใจ”
หลานวั่งจีก็บอกไม่ได้ว่า คนตรงหน้าจะทำจริงๆหรือไม่, เขาเริ่มหน้าซีด, “เว่ยอิง,เจ้า...ต้องไม่ทำอะไรมุทะลุเช่นนั้น”
เว่ยอู๋เซียนหัวเราะเสียงดัง,
“เจ้าก็รู้จักข้าดี ข้าชอบทำอะไรมุทะลุจะตาย” และตามที่เขาได้พูดไว้, เขาเอื้อมมือเข้าไปแหวกเสื้อผ้าหนาของหลานวั่งจี
จากนั้นก็บีบเข้าที่จุดยุทธศาสตร์
.
การดำเนินการบีบเค้นจุดนั้นเป็นไปอย่างเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง,
ใช้แรงไม่หนักหรือเบาจนเกินไป ทันใดนั้นสีหน้าของหลานวั่งจีก็เริ่มจะดูน่าตลก
มุมปากของเขาบิดเบี้ยวจากการที่เขาบังคับควบคุมริมฝีปากของตัวเองให้หุบสนิทเอาไว้
กระทั่งพยายามที่จะรักษาสีหน้าว่ายังคงสงบเยือกเย็นได้อยู่ อย่างไรก็ตาม
เว่ยอู๋เซียนก็ไม่ได้จะทำอยู่แค่นั้น เขาปลดผ้าคาดเอวและถอดกางเกงของหลานวั่งจีออกโดยการเคลื่อนไหวไม่กี่ครั้ง
เขาใช้มือกะน้ำหนักของเจ้าสิ่งใหญ่โตที่ไม่เข้ากับภาพลักษณ์สุภาพนุ่มนวลของหลานวั่งจีสักนิด
แล้วกล่าวชื่นชมจากใจจริง, “เจ้าเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงตั้งแต่อายุยังน้อยนะ, หานกวงจวิน”
หลังจากพูดจบเว่ยอู๋เซียนก็เอาอาวุธคู่กายของคนตรงหน้าออกมาสะบัดเล่น
ของสงวนส่วนตัวของเขาถูกเอามาเล่นแบบนี้,
หลานวั่งจีได้แต่สงสายตาอาฆาตราวกับต้องการจะปลิดชีวิตคนตรงหน้า
เว่ยอู๋เซียนขำคิก,
“ตะโกนออกมาสิ ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้หรอก ต่อให้ตะโกนจนคอแตกก็ตาม”
หลานวั่งจีราวกับกำลังจะพูดอะไรออกมา
แต่หลังจากที่เว่ยอู๋เซียนหัวเราะเสร็จเขาก็จับปอยผมของตัวเองที่ตกลงมาขึ้นทัดหู, นั่งลงแล้วกลืนกินอาวุธคู่กายของหลานวั่งจีลงคอจนสุดความยาว
ความตกตะลึงระเบิดขึ้นในแววตาของหลานวั่งจี
เขาแทบไม่เชื่อเลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่, ร่างกายของเขากลายเป็นหินไปแล้ว
หลานวั่งจีในตอนที่อายุ 17 ปียังคงถูกรายล้อมไปด้วยคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
แต่ขนาดของเจ้าอาวุธประจำกายของเขานั้นกลับมีขนาดใหญ่โตอย่างที่ใครก็ไม่อาจจะคาดคิด
เว่ยอู๋เซียนค่อยๆนำเอาเจ้าสิ่งนั้นเข้าปากไปทีละนิด
ก่อนที่เขาจะสามารถกลืนมันเข้าไปได้หมด เขารู้สึกว่าส่วนหัวที่เปียกลื่นของมันได้กระแทกเข้ากับผนังลำคอของเขา
ส่วนท่อนเนื้อของมันทั้งหนาและพองตัวขึ้นมา ภายในปากของเขายังรู้สึกได้ถึงเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเจ้าสิ่งนั้นกำลังเต้นตุบ
แก้มของเขายังโป่งออกจากการอมเจ้าอาวุธแปลกปลอมไว้ภายใน ทั้งๆที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก
แต่เขาก็ยังใจเย็นอยู่ ค่อยๆกลืนกินท่อนเนื้อที่เหลือเข้าไปในลำคอให้ลึกขึ้น ลึกขึ้น
อันที่จริงเว่ยอู๋เซียนค่อยข้างมีประสบการณ์ในรับมือกับอาวุธประจำตัวของหลานวังจีอย่างช่ำชองอยู่แล้ว
เขาใช้ความสามารถทั้งหมดในการดูดอม ไล้เลียจนเกิดเสียงดัง เขาทำราวกับกำลังลิ้มรสชาติอาหารอันโอชะ
อย่างตะกละตะกราม แม้ว่าผิวหน้าของหลานวั่งจีจะไม่เปลี่ยนเป็นสีแดงเลยแม้เพียงนิด
แต่ลำคอและใบหูของเขากลับขึ้นสีเข้ม ปล่อยลมหายใจกระชั้นถี่
เว่ยอู๋เซียนใช้เวลาในการดูดอมและกลืนกินเจ้าสิ่งนั้นอย่างยาวนานจนเริ่มเจ็บแก้มไปหมด
แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของการปลดปล่อยอะไรออกมาเลย
เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่—มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมีความสามารถไม่ถึงขั้นพอที่จะจัดการหลานวั่งจีในวัย
17 ปีลงได้
เขาช้อนสายตาขึ้นไปก็พบกับใบหน้าของหลานวั่งจีที่เต็มไปด้วยความอดทนอดกลั้น
อาวุธคู่กายของเขาแข็งอย่างกับแท่งเหล็ก
แต่เขากลับยืนกรานที่จะต่อต้านอย่างหัวชนฝา,
ปฏิเสธที่จะปลดปล่อยความต้องการออกมาเพื่อปกป้องปราการด้านสุดท้ายของตนเองอย่างดื้อดึง
เว่ยอู๋เซียนพบว่านี่มันน่าสนุกยิ่งนัก, เขาหวังจะสร้างความเสียหาเพิ่มขึ้นให้หนักยิ่งกว่าเดิมอีกครั้ง ปลายลิ้นชุ่มชื้นไล่ไล้เลีย
ซอกไซร้ไปทั่วร่องตรงส่วนหัวของลึงค์อย่างถ้วนทั่วอีกครั้ง และอีกครั้ง ยัดมันเข้าไปในลำคอจนลึกอย่างที่สุดของที่สุด จากนั้นก็ส่งมันเข้าๆออกๆ, ในที่สุดหลานวั่งจีก็ทนต่อไปไม่ไหวจนถึงกับต้องปลดปล่อยความปรารถนาทั้งหมดออกมา
ของเหลวที่ถูกฉีดเข้ามาในคอของเว่ยอู๋เซียนนั้นค่อนข้างข้นเหนียว
และมีกลิ่นเฉพาะ เขาลุกขึ้นไอออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็เช็ดมุมปากด้วยหลังมือของตนเอง
และเหมือนดังก่อนหน้านี้ เขากลืนทุกอย่างลงคอไปจนหมด อีกด้าน
หลังจากที่หลานวั่งจีได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว
เขาก็มองไปยังเว่ยอู๋เซียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ, พูดอะไรไม่ออก,
แม้ร่างกายของเขาจะสุขสมกับกับการถึงจุดสุดยอด
แต่มันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เว่ยอู๋เซียนรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังหลอมละลาย, ได้เห็นสีหน้าละอายใจของหลายวั่งจี เขาก็หยิกแก้มของหลานวั่งจีเบาๆ,
“เอาหล่ะ ข้าขอโทษก็ได้ ข้าไม่น่ารังแกเจ้าเลย”
เขาพูดไปพลางใช้นิ้วของตัวเองไล้ไปตามความยาวของอาวุธคู่กายของหลานวั่งจีที่เพิ่งผ่านการปลดปล่อยออกมาไปพลาง
จากนั้นก็รั้งมือกลับ เขาจัดการปลดสายคาดเอวแล้วถอดกางเกงของตัวเองออก
เว่ยอู๋เซียนมีเรียวขาที่เพรียวยาว, ทั่วเรือนร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาขาวเนียนราวกับเนื้อหยก
เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เรียบตึง แก้มก้นคู่นั้นทั้งกลมกลึงและอิ่มเต็ม
เป็นภาพที่น่ามองยิ่ง อีกฝั่งหนึ่งทางด้านหลานวั่งจีที่พิงอยู่กับก้อนหิน
เขามองเห็นความเป็นไปทุกอย่างได้อย่างชัดแจ้ง
และยิ่งกว่านั้นเห็นชัดไปถึงสิ่งที่อยู่ภายใต้ร่างกายของเว่ยอู๋เซียน
เว่ยอู๋เซียนคุกเข่าลงบนพื้นหญ้า เขาหันหลังแล้วนอนคว่ำลงบนพื้นโดยให้ด้านหลังของตนเองอยู่ตรงหน้าของหลานวั่งจี
เขาเคลื่อนนิ้วนำเอาน้ำสีขาวขุ่นป้ายไปยังลำตัวช่วงล่าง ทางเข้าตรงกลางมีรอยแยกลึกเย้ายวนอยู่
เว่ยอู๋เซียนเพียงเปิดเผยจุดสีชมพูนั้นหลังจากแหวกแก้มก้นกลมกลึงของตนออกเล็กน้อย
ร่องนั้นดูอ่อนนุ่มและน่าค้นหา ตอนแรกมันก็ปิดสนิทดี แต่เว่ยอู๋เซียนค่อยๆ
ป้ายน้ำรักของหลานวั่งจีรอบๆทางเข้าด้วยสองนิ้วเรียวยาวของตน มันจึงเริ่มเปิดออกแล้วดูดกลืนปลายนิ้วเข้าไปอย่างเอียงอาย
เว่ยอู๋เซียนค่อยๆส่งนิ้วของเขาเข้าไปข้างในจนสุด ก่อนที่จะเริ่มชักเข้าชักออก
จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มชักนิ้วเร็วขึ้น เร็วขึ้น
จนในที่สุดด้านหน้าของเขาก็แตกพร่าง
เมื่อมีของเหลวมาหล่อลื่นเพิ่มขึ้นแล้ว
เว่ยอู๋เซียนก็สอดนิ้วที่สามเข้าไปเพิ่ม เขาปล่อยลมหายใจที่กักไว้ออกมาเบาๆ
ไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้ จำนวนสามนิ้วนั้นออกจากเกินความสามารถของตัวเองไปหน่อย เขาค่อยๆชักนิ้วทั้งสามช้าลงกว่าเดิม
ในเวลาค่ำมืดเช่นนี้
รายละเอียดพวกนั้นไม่ควรมองเห็นได้อย่างชัดเจนนัก
แต่หลานวั่งจีมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคม โดยเฉพาะทางสายตา
เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองดูทัศนียภาพตรงหน้าดำเนินต่อไป, แถมไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลยด้วยซ้ำ
ตอนอยู่บนเตียง, เว่ยอู๋เชียนชอบที่จะถึงจุดสุดยอดและปลดปล่อยออกมาพร้อมๆกับหลานวั่งจี
ในกรณีที่เขาเกิดจะถึงจุดสุดยอดและใกล้จะปลดปล่อยออกมาก่อน เขาก็จะหลีกเลี่ยงการกระตุ้นส่วนที่ไวต่อสัมผัสของร่างกายในระหว่างขั้นตอนการใช้นิ้วไว้
อย่างไรก็ตาม,หลานวั่งจีมักก็มักจะดูแลส่วนที่ไวต่อความรู้สึกนั้นของเขาเป็นอย่างดี, ตอนนี้เขาไม่สามารถถูกทำให้พึงพอใจได้,
ผนังด้านในของเขากำลังเกร็งกระตุกมากว่าปรกติ, ยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งไม่พอใจ
เพราะนิ้วของเขาตอนนี้ไม่สามารถสัมผัสถึงจุดกระสันนั้น
สะโพกของเขาทรุดลงไปอย่างควบคุมไม่ได้
พยายามจะส่งจุดๆนั้นไปให้แตะถึงปลายนิ้ว เหมือนว่าอีกนิดเดียวจะสัมผัสได้อยู่แล้ว
เว่ยอู๋เซียนกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังสั่นไหวเบาๆ
และเขาก็ไม่สามารถคุกเข่าอยู่ในท่านั้นได้ต่อไปอีก
ทันใดนั้นเขาก็ถอนนิ้วออกมาแล้วปรับลมให้ใจให้สงบลงอยู่สักพัก, ขณะที่เขาหันหลังกลับไป เขาก็พบว่าหลานวั่งจีกำลังไม่ทันระวังตัว
ทันใดนั้นสายตาของเขาทั้งคู่ก็ประสานเข้าด้วยกัน หลานวั่งจีรีบหลับตาลงทันใด
เว่ยอู๋เซียนยิ้มร้าย,
“เฮ้, หลานจ้าน,
ท่านกำลังทำสิ่งใดหน่ะ? กำลังท่องกฎสกุลหลานในใจอยู่งั้นหรือ?
ดูเหมือนว่าเขาจะเดาได้ถูก, ขนตาของหลานวั่งจีกระเพื่อม เขาดูเหมือนอยากจะลืมตาขึ้นมา
แต่ในที่สุดเขาก็ยับยั้งชั่งใจตัวเองเอาไว้ได้
เว่ยอู๋เซียนเย้าต่อด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย,
“มองข้าอยู่ใช่หรือไม่? เจ้ากลัวอันใดกัน?
ทำอย่างกับข้ากำลังจะทำอะไรแย่ๆต่อเจ้าเช่นนั้น?”
เมื่อได้กล่าวออกไปแล้ว
ในตอนแรกเสียงของเขาช่างเต็มไปด้วยความรื่นรมน์นัก ต่อมาน้ำเสียงของเขากลับฟังดูเหลาะแหละ
ขาดความกระตือรือร้น ราวกับกำลังวางเบ็ดล่อเหยื่อ
แต่หลานวั่งจีได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไม่มอง, ไม่ฟัง, ไม่พูด
และแน่นอนว่าจะไม่นึกถึงสิ่งที่เว่ยอู๋เซียนได้ทำลงไปสักนิด
เว่ยอู๋เซียน,
“ท่านมันใจร้ายนัก เพียงมองข้าสักหน่อยยังทำมิได้เชียวหรือ?”
ไม่ว่าจะเอ่ยคำพูดเย้าแหย่ไปทั้งหมดกี่คำ
เขาก็พบว่าหลานวั่งจีไม่ยอมลืมตาขึ้นมาแม้แต่น้อยไม่ว่าจะทำอย่างไร, เว่ยอู๋เซียนเลิกคิ้วขึ้น, “ได้, หากเป็นเช่นนี้, ข้าจะขอหยิบยืมกระบี่ปี้เฉินจากเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน, เจ้าคงไม่ขัดข้องใช่หรือไม่?”
เขาทำตามที่พูด, คว้ากระบี่ปี้เฉินที่วางอยู่ขึ้นมา
เปลือกตาของหลานวั่งจีเปิดขึ้นทันที, เสียงของเขาร้อนรน, “เจ้าจะเอาไปทำอะไร?”
เว่ยอู๋เซียน,
“แล้วเจ้าคิดว่าข้ากำลังจะทำอะไร?”
หลานวั่งจี, “...ข้าไม่รู้”
เว่ยอู๋เซียน,
“หากเจ้าไม่รู้ว่าข้ากำลังจะทำอะไร,ไยเจ้าถึงดูกระวนกระวายนัก?”
หลานวั่งจี, “ข้า!
ข้า…”
เว่ยอู๋เซียนยกยิ้มไปทางหลานวั่งจี,
เขาโบกกระบี่ปี้เฉินในมือก่อนจะสำรวจมัน,
ด้ามจับของกระบี่ปี้เฉินถูกพันไว้ด้วยสิ่งอ่อนนุ่ม จากนั้นเว่ยอุ๋เซียนก็ใช้ปลายลิ้นสีเข้มแลบออกมาแล้วเริ่มโลมเลียไปที่ด้ามจับของมันจนเปียกไปทั่ว
คมดาบของกระบี่ปี้เฉินแทบจะโปร่งใสราวกับว่ามันถูกทำมาจากก้อนน้ำแข็งและเกล็ดหิมะ
ดังนั้นด้ามจับของมันจึงถูกประดิษฐ์มาจากแร่เงินบริสุทธิ์ให้เข้ากัน และค่อนข้างมีน้ำหนัก
มันถูกสลักเสลาด้วยลวดลายเก่าแก่ สูงค่า และเปล่งประกาย
ภาพตรงหน้าของเขาช่างยั่วยุกามรมณ์อย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนว่าหลานวั่งจีจะโมโหมากกว่ามีอารมณ์,
“ปล่อยมือจากปี้เฉินของข้าเดี๋ยวนี้!”
เว่ยอู๋เซียน,
“ทำไมหล่ะ?”
หลานวั่งจี, “มันคือกระบี่ของข้า
เจ้าห้ามใช้มันสอดใส่เข้าไปใน...ใน...”
เว่ยอู๋เซียนรำพึง,
“ข้ารู้ว่ามันเป็นกระบี่ของเจ้า,
ข้าแค่ถูกใจมันและอยากเล่นกับมันสักเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งใดทำให้เจ้าคิดว่าข้าจะทำแบบนั้นกับมันเล่า?"
“…” หลานวั่งจีก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำไหน.
เว่ยอู๋เซียนหัวเราะลั่น,
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”, เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กัน, หลานจ้าน?! เจ้าจะไม่หื่นกามไปหน่อยหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าเว่ยอู๋เซียนไม่ได้ปฏิเสธว่าต้องการจะทำแบบนั้นกับกระบี่ของเขาสักนิดแถมยังถูกย้อนคำกลับ,
สีหน้าของหลานวั่งจีได้แต่ตกตะลึง,
ได้หยอกเย้าเขาพักหนึ่ง,
เว่ยอู๋เซียนก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง เขาจึงพูดต่อไปว่า, “หากเจ้าไม่ต้องการให้ข้าแตะต้องกระบี่ของเจ้า, เจ้าสามารถใช้ตัวเองมาทดแทนได้นะ หรือเจ้าว่าอย่างไร? ตกลงหรือไม่?
หลานวั่งจีไม่อาจจะบอกว่าตกลงเขายอมแลกเปลี่ยน หรือไม่ตกลงแล้วยอมให้เว่ยอู๋เซียนเล่นพิเรนแบบนั้นกับกระบี่ของตัวเองได้ เขาไม่รู้ว่าควรจะสนองข้อเสนอพวกนี้เช่นใด
เว่ยอู๋เซียนจึงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วคลานเข้าหาเขาโดยที่แผ่นหลังขาวขนานไปกับพื้น, เขาล่อหลอกต่อไปว่า, “ถ้าท่านตกลง, ข้าจะคืนกระบี่ให้ท่าน แล้วมาทำเรื่องสนุกๆกับท่านแทน เช่นนั้นดีหรือไม่?
จากนั้นสักพัก, ก็มีคำพูดรอดไรฟันของหลานวั่งจีออกมา, “...ไม่!”
เว่ยอู๋เซียนเลิกคิ้วของเขาขึ้น,
“อืม จำคำท่านไว้” เขาถอยหลังออกมาจากตัวหลานวั่งจี
แล้วนั่งลงข้างหน้าเขา, ยกยิ้มมุกปากในขณะที่กำลังแยกขาออก,
“เช่นนั้นเจ้าก็สามารถดูข้าเล่นกับกระบี่ปี้เฉินได้”
ในท่วงท่าที่ไร้ยางอายของการแยกเรียวขาออกให้กว้างขึ้น,
หลานวั่งจีได้เห็นทัศนียภาพตรงจุดซ่อนเร้นของเว่ยอู่เซียนอย่างกระจ่างแจ้งนัยน์ตา
แก้มก้นนวลขาวสองข้างแยกออกจากกันเล็กน้อยเพราะการอ้าขาที่กว้างขึ้น, เปิดเผยจุดสีชมพูอ่อนที่อยู่ตรงกลาง จากการใช้นิ้วช่วยตัวเองก่อนหน้านี้ ตรงปากทางเข้าดูเหมือนจะบวมขึ้นเล็กน้อย, และด้วยความชุ่มชื้นจึงทำให้มันดูบอบบางน่าสัมผัส
เว่ยอู๋เซียนหมุนด้านที่เป็นคมมีดของกระบี่ปี้เฉินออก
แล้วเอาด้านด้ามจับของกระบี่มาจ่อยังร่องทางเข้า
เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วค่อยๆกดมันลงไป จากนั้นรอยจีบคับแคบก็ดูดกลืนส่วนปลายสุดของด้ามจับกระบี่ปี้เฉินเข้าไปคืบหนึ่งอย่างไม่มีติดขัดทันที
ด้ามของกระบี่ปี้เฉินให้ความรู้สึกเย็นเฉียบราวกับก้อนน้ำแข็ง
หรือท่อนเหล็ก,
ส่งความหนาวสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลังของเว่ยอู๋เซียน
ยิ่งทรมานจากการได้รับความเย็น ช่องทางด้านหลังของเขาก็ยิ่งตอดรัดมากขึ้น, นั่นทำให้ด้ามของกระบี่เลื่อนออกมานิดหน่อย เว่ยอู๋เซียนพยายามจะยัดกระบี่ปี้เฉินเข้าไปในร่องรักของเขาด้วยแรงทั้งหมดอีกครั้งจากนั้นก็ชักมันเข้าๆออกๆ
ในตอนแรกผนังด้านในของเขาก็ดูดกลืนด้ามกระบี่ไว้แน่น
ตัวด้ามกระบี่นั้นถูกสลักเป็นปุ่มและเงี่ยงฟันอย่างวิจิตร ความรู้สึกหลังจากถูกไถเข้าๆออกๆภายในนั้นมากเพียงพอที่จะทำให้เขาเสียสติ และทันทีที่มันกระแทกโดนจุดกระสัน,
เว่ยอู๋เซียงก็ส่งเสียงครางกระเส่าออกมา,
เขาวาดขาหุบเข้าหากันทั้งยังรู้สึกเสียวซ่านไปจนถึงทั่วแก่นกะโหลกและหนังศีรษะ ด้านหน้าของเขายังถูกกระตุ้นจนแข็งขืนแล้วแตกกระจายออก
จากมุมมองของหลานวั่งจี, นี่มันช่างเป็นทัศนียภาพที่โคตรจะลามกอนาจารเกินไปแล้ว
เว่ยอู๋เซียนที่นอนอยู่ตรงหน้าหลานวั่งจี, อ้าขาอล่างฉ่างแล้วกระชับกระบี่ปี้เฉินของเขาไว้ด้านล่าง
ด้ามกระบี่ที่แข็งและเย็นเฉียบของมันทำให้ทางเข้าที่ดูอ่อนนุ่มกลับบวมเป่งอย่างน่าสงสาร, เขาพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ใช้สายตาเว้าวอนไปทางหลานวั่งจี, เอ่ยหา, “หลานจ้าน...”
“หลานจ้าน...” คำเรียกดูปั้นแต่งผ่านโทนเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย
ฟังให้รู้สึกราวกับว่าเว่ยอู๋เซียนกำลังอ้อนวอนเขา,
หรือไม่ก็เป็นเสียงพึมพึมโดยไร้สติจากความสุขสมที่ได้รับ แต่ไม่ว่ามันจะมาจากทางใด
นั่นก็มากเพียงพอต่อการทำให้จิตใจของเขายุ่งเหยิง
หลานวั่งจีดูเหมือนจะไม่สามารถหลับตาลงได้อีกแล้ว เขาอดที่จะจ้องมองภาพนั้นต่อไปมิได้
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าใบหน้าของตนกำลังเห่อร้อน,
สายตาจับจ้องแต่ส่วนที่อยู่ภายใต้กระบี่ปี้เฉิน,
เขาเริ่มสัมผัสจับอาวุธคู่กายแต่กำเนิดของตนเองบ้าง ข้อมือของหลานวั่งจีกำเข้าด้วยกันแน่น
อีกด้านนั้น
เว่ยอู๋เซียนยังไม่ทันรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น จากการช่วยตัวเองโดยใช้กระบี่ปี้เฉิน
เรียวขาของเขาก็เสียดสีกันไปมาเองโดยไม่อาจบังคับได้ ส่วนต่างๆของเขาตอดเกร็งแน่น
กระตุกไปจนถึงแก้มก้นเนียนทั้งสอง ข้างปากทางรักนั้นก็ยิ่งดูดกลืนด้ามกระบี่อย่างแนบแน่นรุนแรงมากขึ้นมากขึ้น
เว่ยอู๋เซียนผ่อนลมหายใจออกมารู้สึกว่าทั้งแขนและขาของเขาถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมด
เขานอนตะแคงข้างอยู่บนพื้น
รู้สึกอยากจะพักเหนื่อยสักครู่หนึ่ง แต่อยู่ๆเข่าของเขาก็ถูกแยกออกจากกันด้วยมือคู่หนึ่งที่แข็งแกร่งราวกับคีมเหล็ก
และขาของเขาก็ถูกบังคับให้อ้าออก
เว่ยอู๋เซียนลืมตาขึ้นมาก็ประสานสายตาเข้ากับดวงตาแดงก่ำของหลานวั่งจีที่ภายในถูกกระพือขึ้นโดยเปลวไฟประหลาด ทั้งมีประกายกล้าจนน่ากลัวอย่างมาก, หลานวั่งจีดึงกระบี่ปี้เฉินออกมาจากรอยแยกนั่น จากนั้นก็โยนมันออกไปไกลๆ
จังหวะที่ด้ามกระบี่พ้นออกไปจากช่องทางรักของเขา เว่ยอู๋เซียนก็ครางออกมาอย่างขัดใจ
หลานวั่งจีต่อว่า,
“หน้าไม่อาย!!!”
เขากดเว่ยอู๋เซียนลงกับพื้น
เสียบอาวุธคู่กายสีคล้ำและพองคับเข้าไปภายในแทน จังหวะที่เขากำลังสอดใส่เข้าไปนั้น, เขาก็เริ่มสอบเอวเข้าออกโดยไม่ออมแรง
ทันทีที่หลานวั่งจีสอดใส่เข้ามา, ขาของเว่ยอู๋เซียนก็เกี่ยวรอบเอวของหลานวั่งจีไว้พร้อมทั้งใช้มือกอดลำคอของเขาตามไปอย่างยินดีปรีดา
แต่หลังจากทีถูกกระแทกเข้าออกแค่ไม่กี่ครั้ง
เขาก็รู้สึกว่ามันชักจะแรงเกินไปหน่อยแล้ว การเสือกไสอาวุธคู่กายของหลานวั่งจีเข้าๆออกๆเป็นไปอย่าง ดุดัน ป่าเถื่อน
ทุกครั้งที่ขยับมันเหมือนกับหลังของเขาต้องรองรับแรงกระแทกครูดไปกับพื้น
แผ่นกลังของเขาถึงกระดูกก้นกบรู้สึกเจ็บไปหมด
เว่ยอู๋เซียน ครวญ,
“นุ่มนวลหน่อย! ท่านพี่, ช่วยนุ่มนวลกับข้าสักนิดเถิดนะ...”
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคร้ายหรือไม่, เว่ยอู๋เซียนลืมไปเลยว่าตอนนี้ตัวเขานั้นอายุมากกว่าหลานวั่งจีคนที่อยู่ในฝัน
ถูกกระทบกระเทือนจนสมองมึนงง เผลอเอ่ยคำว่า ’ท่านพี่’ออกมา, นั่นยิ่งทำให้หลานวั่งจีไม่คิดจะออมแรงกับเขาสักนิดทั้งยังกลับยิ่งทำให้หลานวั่งจีกระแทกเข้าๆออกๆในตัวเขาแรงขึ้นๆ
เหมือนกับว่าเขาต้องการจะทำร้ายก้นของเว่ยอู๋เซียนให้ยับเพื่อเป็นการลงโทษ
เว่ยอู๋เซียนแอ่นคอไปด้ายหลัง เขาแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้วเมื่อถูกขยับคว้างอยู่กลางระลอกคลื่นของพายุหมุน
“มัน...มันร้อนเหลือเกิน!”
ตอนที่ด้ามของกระบี่ปี้เฉินอยู่ในร่างกายของเขานั้นมันได้ปล่อยไอหนาวออกมาตลอด,
แม้มันจะทำให้ด้านในของเขานิ่มขึ้นแต่ก็ให้สัมผัสถึงความเย็นไปหมดด้วยเช่นกัน
กลับกันกับอาวุธคู่ใจของหลานวั่งจี นั้นทั้งหนากว่าและอุ่นร้อนกว่าด้ามของกระบี่ปี้เฉินนัก
และยิ่งกว่านั้น ทุกครั้งที่หลานวั่งจีฝังกายเข้ามา
มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกลูกไฟเผาไหม้อยู่ในช่องท้องของเขา, ร้อนลวกเสียจนเว่ยอยู่เซียนอยากจะกลิ้งไปบนพื้นเพื่อดับไฟ
และหลังจากที่โดนการกระทำอันดุเดือดของหลานวั่งจีทารุณอยู่เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ร่างกายของเขาก็อ่อนปวกเปียกทำได้เพียงสะท้านสั่นไหวภายใต้การเอาแต่ใจของหลานวั่งจีเท่านั้น และตอนนี้ถึงแม้ขั้นการบำเพ็ญเพียนของเขาจะสูงกว่าหลานวั่งจีในฝัน แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะขัดขืนชายหนุ่มตรงหน้าได้ จนถึงในตอนที่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปนั้น
เว่ยอู๋เซียนได้แต่หลบไปด้านข้าง, บิดเอวออกเพื่อหวังจะหลบหนี, หากหลานวั่งจีกลับตรึงเขาไว้แน่
และภายใต้การกระแทกอย่างลึกเข้าไปจนสุดอีกไม่กี่ครั้ง,
เว่ยอู๋เซียนก็ไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรออกไปได้อีก
หลานวั่งจีตะคอกเสียงต่ำ กรอกตรงไปยังข้างๆหูของเขา,
“ตกลงผู้ใดเป็นสามี?”
ตอนแรกเว่ยอู๋เซียนยังมึนๆงงๆ
จนไม่ทันตอบถูก หลานวั่งจีจึงถามย้ำอีกครั้งด้วยการกระแทกอาวุธคู่กายเข้าไปอย่างลึกที่สุดจนเขาเกือบจะสำลักความสุข
เว่ยอู๋เซียนละล่ำละลัก, “เจ้า! เจ้า! เจ้าเป็น,
เจ้าเป็นสามี...”
กรรมตามสนองแท้ๆ
จากนั้น,
เว่ยอู๋เซียนก็กัดฟันเผชิญหน้ากับการตั้งหน้าตั้งตากระแทกเข้า กระแทกออก
ผนังเย็นภายในช่องทางของเขาถูกถูไถจนร้อนขึ้นจากจากเสียดสี
ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ส่วนหัวของอาวุธคู่กายของหลานวั่งจีนั้นมีลักษณะขรุขระ
ดังนั้นตอนที่มันพุงเข้ามาเสียบแทงข้างในร่างกายของเขา
ก็ถูกช่องทางที่ชื้นแฉะนุ่มนิ่มตอดรัดดูดกลืนเป็นระลอกๆ รูปร่างที่โค้งเล็กน้องของอาวุธประจำกายท่อนนั้น
กระแทกไปยังจุดกระสันภายในร่างกายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
เว่ยอู๋เซียนรู้สึกดีเสียจนแทบจะเป็นบ้าไปเสียให้ได้
แต่เขาจำเป็นต้องแสร้งว่า ตัวเองช่างอ่อนแอเหลือทน และจำต้องถูกรังแกอยู่อย่างนั้น ท่อนเนื้อของเขาเองก็สะบัดขึ้นลงตามจังหวะการสอบเอวบดกระแทกของหลานวั่งจี,
เขาเกาะแขนของหลานวั่งจีเอาไว้แล้วอ้อนวอนว่า, “...ท่านพี่...หลานจ้าน...ช่วยนุ่มนวลกว่านี้สักนิดมิได้หรือ? มันเจ็บ...ข้าว่าข้าต้องมีเลือดออกแน่ๆ...”
จริงๆแล้วตรงส่วนเชื่อมต่อของทั้งสองคนนั้นมันแสนจะฉ่ำแฉะ, เสียงของเหลวกระทบกับเนื้อนั้นดังเสียจนหลานวังจีอดที่จะก้มลงมองมิได้, แล้วเขาก็แข็งทื่อไปเสียอย่างนั้น
เว่ยอู๋เซียนส่งเสียงอู้อี้,
“มีเลือดออกหรือไม่?”
หลานวั่งจีถอนลมหายใจออกมาอย่างรุนแรง,
“ไม่มี”
เว่ยอู๋เซียน,
“ไม่มี?เช่นนั้นมันเกิดสิ่งใด?”
หลานวั่งจีกดเสียงต่ำ,
“เจ้าแค่เปียกแฉะไปหมด”
ไม่รู้ว่าช่องทางด้านหลังของเว่ยอู๋เซียนได้ถูกเติมเต็มด้วยสารคัดหลั่งพวกนั้นมานานแค่ไหน,
อาวุธคู่กายสีเข้มของหลานจ้านเองก็ได้ถูกความฉ่ำแฉะเหล่านั้นเคลือบไว้จนเยิ้มทั่วเช่นเดียวกัน
มีทางเป็นไปได้อยู่ประการเดียวเท่านั้นคือเมือกหล่อลื่นเหล่านั้นหลั่งออกมาจากภายในช่องทางของเว่ยอู๋เซียน
เว่ยอู๋เซียนแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่อยากจะเชื่อเรื่องเช่นนี้เอาเสียเลย,
“จริงหรือ? จริงหรือ?” เขาถามในขณะที่กำลังจับมือของหลานจ้าให้ไปสัมผัสส่วนที่พวกเขากำลังเชื่อมต่อกันอยู่
อาวุธประจำกายของหลานจ้านนั้นทั้งหนาและเต็มไปด้วยเส้นเลือดขรุขระ
กำลังยัดอัดอยู่ในทางเข้าแคบๆจนตึงแน่น มือของหลานวั่งจีสัมผัสได้ถึงของเหลวหนืด
จากส่วนที่เชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น ราวกับมีเข็มพันเล่มทิ่มตำ
เขารีบถอนมือออกจากตรงนั้นแล้วจ้องไปที่ส่วนเชื่อมต่อนั่น ของเหลวนั้นเป็นสีใสๆ
และไม่ได้มีเลือดปนมาแต่อย่างใด
ร่างกายของเว่ยอู๋เซียนและหลานวั่งจีเข้ากันได้อย่างดีมากๆเมื่อถูกเล้าโลม
ร่างกายของพวกเขาก็ตอบสนองกันและกันอย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม เวลานี้
เว่ยอู๋เซียนยังตั้งใจที่จะหยอกเอินหลานวั่งจีต่อไป
เห็นมุมปากของเว่ยอู๋เซียนโค้งเป็นรอยยิ้ม หลานวั่งจีก็รู้ทันทีว่าเขาถูกปั่นหัวเข้าเสียแล้ว
เขาจึงเสียบอาวุธประจำกายของตัวเองเข้าไปอีกครั้ง
ลมหายใจของเว่ยอู๋เซียนแตกกระจายขาดเป็นห้วงๆ จากการถูกแทงและไสเอวกระแทกสะโพกเบียดเข้าออก
เขาละล่ำละลัก, “…หลานจ้าน,
หลานจ้าน, ให้ข้าลุกขึ้นสักหน่อยได้หรือไม่, ให้ข้าอยู่ข้างบนเถอะนะ?
.
หลานวั่งจีดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าที่เว่ยอยู่เซียนกล่าวว่าที่จะขออยู่ข้างบนนั้นหมายความว่าอย่างไร
เขาจึงลังเลเล็กน้อย เว่ยอู๋เซียนโถมกายเข้าหาเขาแล้วกอดไว้แน่น
จากนั้นก็ออกแรงพลิกตัวเปลี่ยนตำแหน่งของพวกเขาสลับกัน
จากนั้นหลานวั่งจีก็นอนอยู่บนพื้นโดยมีเว่ยอู๋เซียนขึ้นมานั่งคล่อมบนตัวของเขาด้านบนแทน
สะโพกและก้นของพวกเขายังเชื่อมต่อกันอยู่
ในขั้นตอนระหว่างที่พวกเขากำลังเคลื่อนย้ายตำแหน่ง อาวุธประจำกายที่แสนใหญ่โตของของหลานจ้านก็เสียบเข้าไปในร่างกายของเว่ยอู๋เซียนลึกขึ้น
เจ้าสิ่งนั้นควงคว้างอยู่ภายในทั้งยังไม่เลื่อนหลุดออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เว่ยอู๋เซียนตอดรัดมันอย่างยินดี สัมผัสได้ว่าภายในหัวของเขาเริ่มหมุนมึนเห็นหมู่ดาวพร่างพราวอีกครั้ง
เว่ยอู๋เซียนมองต่ำลงมา
แยกไม่ออกว่าตรงเบื้องหน้าคือภาพลวงตาหรือไม่ เขารู้สึกได้ว่าหน้าท้องแบนเรียบของตัวเองนูนขึ้นเล็กน้อยจากอาวุธคู่กายของหลานวั่งจีที่เสียบคาอยู่ภายใน
เขาไม่สามารถทำอย่างอื่นได้นอกจากใช้มือลูบหน้าท้องของตัวเองดู
จากนั้นเว่ยอู๋เซียนก็พยายามจะยกแก้มก้นกลมนวลของตนเองขึ้นแล้วเริ่มขยับควบขี่
ตอนที่เขาควบขึ้นสุดจะเหลือเพียงส่วนปลายของอาวุธคู่กายท่อนนั้นที่คาบคาอยู่ในช่องทางรัก
จากนั้นเมื่อเขาควบลงสุด เจ้าสิ่งนั้นจะมุดเขาไปในช่องทางของเขาจนมิดลำทั้งหมดในตำแหน่งที่ลึกสุดๆ
ซึ่งเว่ยอู๋เซียนนั้นชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้เขารู้สึกจุกจากการที่เจ้าสิ่งนั้นเข้ามาลึกจนเกินไป หลานจานในวัย 17 ปี
ที่อยู่ในความฝันเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาจากการปั่นหัวของเขา เจ้าหนุ่มนั่นไม่สามารถควบคุมแรงกระแทกของตนเองได้เลย เว่ยอู๋เซียนจึงถูกตอกอัดไม่ยั้งเสียจนขาสั่น
เขายันตัวไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกับหมดเรี่ยวแรงที่จะวาดลวดลายแล้ว ในสถานการณ์ย่ำแย่เช่นนี้
สิ่งที่เขาทำได้คงมีเพียง
อ้าปากให้กว้างแล้ววางมือลงบนหน้าท้องแกร่งของหลานวั่งจีเท่านั้น
เว่ยอู๋เซียนนั้นเกิดมาพร้อมกับเอวที่คอดและสะโพกที่เล็ก
แต่แก้มก้นของเขากลับมีเนื้อแน่นและโค้งงอน นิ้วมือของหลานวั่งจีคว้านลึกไปยังเนื้อหนั่นบีบเค้นพวกมันอย่างถึงพริกถึงขิง
ไม่นานจากนั้นทั่วกายของเว่ยอู๋เซียนก็มีรอยช้ำจากการถูกลูบเฟ้นกดคลึงเต็มไปหมด
เขาเจ็บจนต้องปัดมือของหลานวั่งจีออกไปให้พ้น แต่หลานวั่งจีดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างมาก
ใบหน้าของเขาบึ้งตึงสีหน้าดำทะมึน จากนั้นแก้มก้นของเว่ยอู๋เซียนก็ถูกตบอยากแรง
จนเกิดเสียงดังเพี๊ยะ!
เว่ยอู๋เซียนตกใจที่โดนตบก้นจนพูดไม่ออก
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครตีก้นของเขามาก่อน
ตอนยังเป็นเด็กฮูหยินเจียงก็ลงแส้เฆี่ยนตีแต่ที่บริเวณหลัง หรือไม่ก็ฝ่ามือของเขาเท่านั้น,
ยิ่งกว่านั้นนายท่านเจียงเฟิ่งเหมี่ยน และศิษย์พี่เหยียนหลี่
ยังดูแลเขามาอย่างดีโดยตลอด ไม่เคยลงไม้ลงมือตีเขาสักแปะ ตอนที่เขาเห็นเด็กๆที่อยู่ในครอบครัวอื่นๆถูกเปลื้องผ้าทุบตี
ก็เห็นแต่การตีที่แผ่นหลัง, เขารู้สึกว่าไม่ว่ายังไงการถูกตีที่ก้นก็เป็นเรื่องน่าอาย
เขามองหลานวั่งจีตาคว่ำ เข้าไม่เคยถูกตีเยี่ยงนี้เลยนะ
ตอนนี้รอยฝ่ามือของหลานวั่งจีได้ประทับอยู่บนเรือนร่างของเขาเป็นริ้วๆ โดยไม่พูดไม่จา
...นี่ก็เป็นฝีมือของหลานวั่งจีที่อายุแค่ 17 ปีเช่นกัน
ทันใดนั้นใบหน้าของเว่ยอยู่เซียนก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงสลับขาว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอดสู หดหู่ราวกับถูกหยามเกียรติ์อย่างควบคุมไม่อยู่กับเรื่องบนเตียง
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหมดอารมณ์
แม้ช่องทางด้านหลังของเขาจะยังถูกอาวุธประจำกายของหลานวั่งจีเสียบคาอยู่
แต่เขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า, “ข้าจะไม่ทำต่อแล้ว!” จากนั้นก็กลิ้งตัวหลบออกมาจากร่างของหลานวั่งจี
เขาพยายามจะใส่เสื้อผ้าและคลานหนี
แต่กลับถูกลากขาสองข้างที่อ่อนปวกเปียกกลับไป หลานวั่งจีกำลังอยู่ระหว่างใกล้ถึงจุดสุดยอด
เขาทั้งถูกเค้น ถูกหยิก ถูกดึง ถูกสะบัด
ถูกจูบ ถูกสัมผัสลูบ และถูกคุกคามโดยเว่ยอู๋เซียนมานานแล้ว เขาโกรธจนพูดไม่ออก
แต่เมื่อพบว่าเว่อยอู๋เซียนกลัวการถูกตีที่ก้นที่สุด
เขาจะปล่อยวายร้ายตนนี้ไปได้เช่นไร
เขาแค่โบกมือ เสื้อผ้าของเว่ยอู๋เซียนที่ถูกดึงขึ้นมาถึงเข่าแล้วก็ขาดกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หลานวั่งจีพลิกตัวเว่ยอู๋เซียนลงแล้วล๊อกข้อมือเขาไว้ด้านหลัง
จากนั้นก็ตบไปยังก้นขาวๆของเขาอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงเพี๊ยะๆ ไม่ขาดสาย
ร่างกายของเว่ยอู๋เซียนสั่นไม่หยุด เขาทำได้แค่เพียงคร่ำครวญว่า,
“มันเจ็บนะ!”
จริงๆมันก็ไม่ได้เจ็บมากสักเท่าใด หากแต่เขารู้สึกอับอายจนรับไม่ไหวต่างหาก
เวลาอยู่บนเตียง เว่ยอู๋เซียนไม่เคยลดเสียงของตนเองลงเลย,แม้ว่าทุกครั้งเสียงของเขาจะแหบแห้งลงกลางครันก็ตาม
มันไม่ใช่เสียงครวญจากความเจ็บปวด แต่คล้ายกับเสียงครางกระเส่าจากการเชิญชวนยั่วยวนมากกว่า
ได้ยินดังนั้นหลานวั่งจีจึงหยุดแล้วมองลงไปเบื้องล่าง
ภายใต้ฝ่ามือของเขาปรากฏก้อนกลมๆขาวๆอยู่สองก้อน
เนื่องจากมันถูกฟาดไปแล้วสองสามครั้ง
จึงมีรอยสีชมพูเป็นริ้วๆแต้มอยู่บนผิวที่ขาวจัด,
เป็นรอยสานกันไปมาของนิ้วมือ ถูกคว้านควักและกระแทกกระทั้นอยู่นาน
ร่องรักนั้นก็แยกออกจากกันเล็กน้อย เผยให้เห็นปากทางที่อ่อนนุ่มลงและบวมเป่ง
ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าร่องแค่นี้ทำไมสามารถกลืนกินด้ามจับของกระบี่ปี้เฉิน
กระทั่งอาวุธคู่กายของเขาในขนาดโตเต็มที่เข้าไปได้กัน ใกล้กับแก้มก้นในส่วนของจุดซ่อนเร้นนั้นก็มีหยาดของเหลวหยดออกมาเป็นทาง
ดวงตาของหลานวั่งจีเข้มขึ้น
อีกด้านผู้ที่ถูกสังเกตการณ์จนหมดไส้หมดพุงอย่างเว่ยอู๋เซียนก็กลัวว่าหลานวั่งจีจะตีเขาอีกครั้ง
เขารีบขมิบช่องทางด้านหลังแล้วพยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจของหลานวั่งจีโดยการถูกไถให้ร่องรักของตอนเปิดอ้าออก
หวังเพียงจะยั่วยวนให้เขาหันเห มาสนใจสิ่งควรสนใจจริงๆเสียดีกว่า
เขาจะได้เลิกทำร้ายก้นแน่นๆสองข้างนั่นเสียที
และเป็นไปดังคาดเขาได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆของหลานวั่งจีจากทางด้านหลัง เขาพลิกร่างขึ้นแล้วก็กดกลืนอาวุธประจำกายของหลานวังจีเข้าไปภายในร่างกายของตนเองอีกครั้ง
การเข้าครอบครองเป็นไปอย่างราบลื่น รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองถูกเติบเต็มอีกหน
เว่ยอู๋เซียนถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งออก
แต่ไม่ทันที่จะพ่นลมหายใจออกมาจนสุด
หลานวั่งจีก็ฟาดด้านหลังของเขาอีกแล้ว เว่ยอู๋เซียนสะท้านจากการโดนตี
ตอดช่องทางรักด้านหลังแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว และตอนที่ปลายสุดของลำอาวุธใหญ่กระแทกโดนจุดกระสันของเขาเข้า
ส่วนหน้าของเว่ยอู๋เซียนก็แข็งตึงบีบตัวพ่นหยาดหยดสีขาวน้ำนมออกมา
ดังนั้นทุกครั้งจากนี้ที่หลานวั่งจีกระแทกอาวุธประจำกายเข้าใส่
เขาก็จะตบตีแก้มก้นงามงอนของเว่ยอู๋เซียนไปด้วย, ซึ่งนั่นส่งผลให้ภายในช่องทางรักของเว่ยอู๋เซียนต้องหดเกร็งตอดรัดไปเสียทุกครั้ง
ยิ่งกว่านั้นอาวุธคู่กายของหลานวั่งจียังเสียบเข้าไปโดนจุดกระสันของเขาได้อย่างแม่นยำขึ้นทำให้ส่วนหน้าของเขามี
อารมณ์ร่วมยิ่งขึ้น มันแข็งขึ้นๆ เป็นการกระตุ้นเร้าความสุขถึงสามชั้น เว่ยอู๋เซียนรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว
ความยุ่งเหยิงและความซ่านสุขอย่างไม่อาจจำแนกได้ เขากระซิบเสียงอ่อนเสียงหวาน,
“อย่าทำเช่นนี้เลย...หลานจ้าน...หยุด....หยุดเถิด...ตื่นได้แล้ว!
ตื่น, หลานจ้าน...”
เขารู้ดีว่าหลานจ้านมักจะเกรี้ยวกราดในเรื่องบนเตียงเสมอและเขาก็ชอบความก้าวร้าวรุนแรงเช่นนั้น
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกต้อนให้จนมุมไร้ซึ่งทางหลบหนี
แก้มก้นของเว่ยอู่เซียนถูกตบตีเป็นสิบๆครั้ง
จนเนื้อกลมแน่นทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดงและอุ่นร้อน, ทั้งยังบวมขึ้นมาเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเหมือนปวดๆเจ็บๆชาๆไม่ต่างจากโดนผึ้งต่อย
แถมร่างกายของเขาก็ไวต่อความรู้สึกมากยิ่งขึ้น
หลานจ้านแทงอาวุธประจำกายของเขาเข้าไปจนลึกอย่างที่สุดอีกครั้ง
เขาโน้มศีรษะลงไปจูบที่ริมฝีปากของเว่ยอู๋เซียน เว่ยอู๋เซียนกอดไหลเขาหลวมๆ, หลอมละลายไปกับรสจูบ หอบหนักจนกระทั่งเขาก็ถึงจุดสุดยอดในที่สุด
ของเหลวสีขุ่นพุ่งกระจายไปทั่วหน้าท้องของพวกเขา
จากนั้นหลานวั่งจีก็ปลดปล่อยน้ำรักส่วนของเขาเข้าไปในร่างกายของเว่ยอู๋เซียนตามกันไป
หลังจากโอบกอดกันเพื่อปรับอารมณ์ได้สักพัก
เว่ยอู๋เซียนก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า, “…มันเจ็บ...”
หลังจาที่ได้ปลดปล่อยความต้องการออกมาเป็นครั้งที่สอง, ดูเหมือนว่าหลานวั่งจีจะได้สติขึ้นมาแล้ว กำลังนอนทับเว่ยอู๋เซียนอยู่, เขาช่วยตัวเองไม่ได้เช่นกันที่ต้องถามออกมาว่า, “…ที่นี่คือที่ใด?”
เว่ยอู๋เซียน,
“…”
แน่นอนว่าเว่ยอู๋เซียนไม่อาจบอกได้ว่าเขากำลังเจ็บก้นอยู่, เขาทำได้เพียงกระซิบว่า, “หลานจ้าน, จูบข้าอีกนะ, เร็วๆเข้า...”
ได้ยินดังนั้นเขาก็เลื่อนสายตามองต่ำลงไป, แล้วยังทำท่าแปลกๆ, ใบหูของหลานวั่งจีก็เปลี่ยนเป็นสีชมพู
เขาทำตามที่ถูกบอกไว้ คือกอดเว่ยอู๋เซียนแน่นๆ แล้วเคลื่อนริมฝีปากของตนเองไปประทับรอบๆริมฝีปากของเว่ยอู๋เซียนแล้วเริ่มมอบจูบที่แสนอ่อนโยนให้
เมื่อริมฝีปากของพวกเขาแยกออกจากกัน
หลานวั่งจีก็ขบฟันลงเบาๆที่ริมฝีปากล่างของเว่ยอู๋เซียน
จากนั้นพวกเขาทั้งสองจึงตื่นขึ้นมา
พวกเขานอนมองกันไปกันมาอยู่บนเตียงไม้ในเรือนรับรองอยู่สักพัก
หลานวั่งจีก็ดึงเว่ยอู๋เซียนเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
ในอ้อมกอดนั้นเว่ยอู๋เซียนก็ถูกจูบต่ออีกเป็นเวลานาน
เขาหลับตาลงอย่างพึงพอใจ, “หลานจ้าน...ข้าขอถามคำถามท่านหน่อยได้หรือไม่
ที่ท่านมักจะปลดปล่อยในตัวข้าทุกๆครั้ง, มิใช่ว่าท่านต้องการให้ข้ามีคุณชายน้อยสกุลหลานให้ท่านหรอกหรือ?
ในความฝันเขาปั่นหัวหลานวั่งจีแต่กลับจบลงด้วยการขุดหลุมฝังตัวเอง, ดังนั้นเมื่อตอนตื่นขึ้นมาเห็นหน้าหลานวั่งจีอีกครั้ง
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าด้วยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยเปื่อยอีก
แต่หลานจ้านคนนี้ไม่ได้โดนแกล้งง่ายๆเหมือนเดิมอีกแล้ว เขาแค่ตอบว่า, “เจ้าตั้งครรภ์มิได้”
เว่ยอู๋เซียนยกแขนที่ยังเจ็บอยู่ของเขาขึ้นมารองศีรษะต่างหมอน,
“อ่า, ถ้าข้าทำได้,
ด้วยจำนวนครั้งที่เจ้าทำรักกับข้าตลอดมาทั้งหมด,
คงจะมีเด็กน้อยเป็นขโยงวิ่งเล่นเต็มอวิ๋นเซินปู้จือฉู่ไปหมดแล้วหล่ะ”
หลานวั่งจีแทบจะทนฟังถ้อยคำลามกอนาจารเหล่านี่ไม่ได้,
“…หยุดเถอะ”
เว่ยอู๋เซียนยกขาขึ้นมาข้างหนึ่ง,
ยกยิ้มมุมปาก, “เขินอีกแล้วหรือ? ข้า...” ก่อนที่เขาจะพูดจบ,
เขาก็รู้สึกว่าหลานวั่งจีกำลังตบก้นของเขาเบาๆ เว่ยอู๋เซียนแทบจะกระโดดลงจากเตียง “ท่านทำอะไรหน่ะ?!!”
หลานวั่งจี, “มาให้ข้าดูหน่อย.”
เว่ยอู๋เซียนลุกขึ้นทันที, ไม่สนใจขาที่กำลังสั่นระริกจนยืนแทบไม่อยู่, “ไม่ต้องหรอก
ขอบใจ, หลานจ้าน, ข้าจำได้อย่างชัดเจนเลยนะ ว่าท่านทำสิ่งน่าประทับใจใดไว้ในความฝันของท่าน
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำกับข้าเช่นนั้น!!! ต่อไปในอนาคตท่านก็ห้ามทำเช่นนั้นกับข้าด้วยเหมือนกัน, จริงๆแล้วหากท่านต้องการจะมีอะไรกับข้า ก็มีได้เลย,
ข้าจะอ้าขากว้างๆแล้วก็ยอมให้ท่านทำทุกอย่างดังใจไม่ว่าท่านจะต้องทำสิ่งใด—แต่ห้ามตีข้า!!”
หลานวั่งจีดึงเขากลับมาบนเตียง,
“ข้าจะไม่ตีเจ้า”
ได้รับคำสัญญาจากเขา, เว่ยอู๋เซียนพลันรู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้าง, “หานกวงจวิน, ท่านต้องรักษาคำพูดนะ”
หลานวั่งจี, “อืม”
ด้วยความเหน็ดเหนื่อย 3 คืนติด, หลานวั่งจีรู้สึกสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงขึ้นมา เว่ยอู๋เซียนก็เช่นกัน
กระนั้นเขาก็ซุกไซร้เข้าไปในอ้อมแขนของหลานวั่งจีอีกครั้ง แล้วพึมพำว่า, “ไม่มีผู้ใดเคยทำกับข้าเช่นนี้...”
หลานวั่งจีลูบผมของเขาแล้วประทับจูบลงบนหน้าผากมน
จากนั้นก็ส่ายศีรษะ แล้วยกยิ้ม
กรี้สสสสสสสส
ตอบลบแม่เจ้า!!!
ตอบลบอื้อหือ
ตอบลบร้อนแรงมาก
ตอบลบดือสุด
ลบอย่าดื้อกับพี่ เดี๋ยวพี่จับตีก้น
ตอบลบอ้ากกกก อมก
ตอบลบโอ้แม่เจ้าโว้ยๆๆๆๆ
ตอบลบสุดยอด555555
ตอบลบส่งสารอ่าาาอย่ารุนแรงสิ
ตอบลบ